"ความไม่แน่นอนทางการเมือง" อาจกดเรตติ้งความน่าเชื่อถือไทย
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่าบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์(Fitch Ratings) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
ครึ่งปี 66 ต่างชาติลงทุนไทยบูม รถยนต์ไฟฟ้ายังแรงขอส่งเสริมแล้ว 14 โครงการ
เช็กราคาวัสดุก่อสร้าง กระเบื้อง-ไม้พุ่ง แต่เหล็กลดลง
แต่ปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ฟิทช์ เรทติ้งส์มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ คือ การไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลัง ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและส่งผลต่อการเติบโตหรือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ส่วนเหตุผลที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) มาจาก
1.มองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวจาก 2.6% ในปีที่แล้วเป็น 3.7% ในปีนี้และ 3.8% ในปี 2567 จากแรงสนับสนุนของภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและจากชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 29 ล้านคน จาก 11.2 ล้านคน ในปี 2565 รวมถึงการฟื้นตัวของภาคเอกชนและตลาดแรงงาน แม้ว่าการส่งออกสินค้าและบริการจะได้รับผลกระทบจากการลดลงหรือชะลอตัวของอุปสงค์และเศรษฐกิจโลก และการใช้นโยบายการเงินแบบหดตัวของประเทศที่พัฒนาแล้ว (Advanced Economies)
2.การขาดดุลการคลังของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง (ปี 2566 อยู่ที่ 3.4%) และในปี 2567 จะลดลงอีก ซึ่งจะสะท้อนรายได้ภาษีที่แข็งแกร่งขึ้นและการสิ้นสุดของมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ก็มองว่าในปีหน้าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น 55.9% และจะทยอยลดลงเนื่องจากมีการปรับภาวะทางการคลังให้เข้าสู่สมดุล (Fiscal Consolidation)
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังคงสามารถระดมทุนในประเทศได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ ส่งผลให้ หนี้สาธารณะคงค้างส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาทและมีอายุคงเหลือที่ค่อนข้างยาวจึงช่วยลดความเสี่ยงด้านการคลัง
3.ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงแข็งแกร่งและยืดหยุ่น แม้ต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการเงินโลกและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดย Fitch คาดว่า ปี 2566 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ 2% ของ GDP และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.9%ในปี 2567
เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและสถานการณ์ราคาน้ำมันที่คลี่คลาย อีกทั้งปี 2566 คาดว่าประเทศไทยจะมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก คือ 7.3 เดือน ขณะที่คาดว่า BBB Peers และ A Peers จะมีค่ากลางอยู่ที่ 4.2 เดือน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) คือ
- การลดลงของสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อ GDP (General Government Debt to GDP)
- การลดการขาดดุลตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีศักยภาพในระยะปานกลาง
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญต่อการปรับมุมมองในระยะปานกลาง (Medium-term growth outlook) คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่จะส่งผลต่อแผนการปรับภาวะทางการคลังให้เข้าสู่สมดุล (Fiscal Consolidation)